Last Update : 17:54:38 22/04/2015
Throughput คืออะไร
ในการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบงานต่างๆ นั้น มักจะมีคำศัพท์เฉพาะมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร หนึ่งในนั้นก็คือคำว่า Throughput ดังนั้น มาดูกันว่า Throughput คืออะไร และค่าของมันบ่งบอกถึงอะไรบ้าง
Last Update : 10:37:04 18/03/2015
H.264 ,Mpeg4 ,Mjpeg
เวลาอ่านคุณสมบัติของกล้องวงจรปิด แล้วกล้องแต่ละตัวจะมาพร้อมกับคุณสมบัติที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นคือ การบีบอัดภาพ การส่งวิดีโอสตรีมมิ่ง MJPEG, MPEG-4, H.264 เหล่านี้ มีความต่างกันอย่างไร มาดูกันครับ
Last Update : 10:21:15 13/03/2015
RAID คืออะไร ?
RAID คืออะไร ? มันก็ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่น่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่รู้ หรืออาจจะยังสงสัยอยู่
Last Update : 16:56:53 12/03/2015
IP 66, IP68 คืออะไร เรามีคำตอบ? ?
IP - Ingress Protection Ratings คือมาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถในการปกป้องสิ่งที่อยู่ภายในของอุปกรณ์
Last Update : 11:44:29 12/03/2015
Bullet Cameras IP
Brand : AVER
Model : FB2028-TM
2 ล้านพิกเซล รุ่น FB2028-TM ทนทานชุดกล้อง IP ถูกออกแบบมาเพื่อทนต่อสภาพการทำงานกลางแจ้งและ IP68 จัดอันดับที่มีการป้องกันอุณหภูมิมาก (? 60 ? C) ทำให้กล้องทนทาน แข็งแรง ทนความร้อนและเย็น ตัวกล้องรุ่น FB2028-TM มาพร้อม IR Infrared ไกลถึง 30 เมตร
Last Update : 10:35:15 09/05/2015
Point To Point System
Brand : AVER
Model : EVC130P
Full HD1080p People Video HD Content Sharing One-Touch Recording 16X zoom PTZ Camera Sophisticated MIC Array
Last Update : 13:05:39 10/03/2015
Point To Point System
Brand : AVER
Model : EVC130
Full HD people video HD content sharing One-touch recording Wide-angle HD camera Sophisticated MIC array
Last Update : 13:02:39 10/03/2015
Point To Point System
Brand : AVER
Model : EVC100
HD video & content wide-angle HD camera sophisticated MIC array advanced network tech easy remote management
Last Update : 12:53:26 10/03/2015
Multipoint System
Brand : AVER
Model : EVC900
10 Points Embedded MCU PTZ 16X Optical Zoom Camera Voice Activated Layout Switch One-Touch Recording Built in SIP Server & Registrar
Last Update : 12:50:06 10/03/2015
AVer SF2012H-B 2M bullet
Last Update : 16:08:58 25/12/2012
EH1000H-4 Nano series
Last Update : 16:08:17 25/12/2012

RAID คืออะไร ?

Last Update: 16:56:53 12/03/2015
Page View (1768)



RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk) คือการนำเอา Harddisk ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเสมือนเป็น harddisk ตัวเดียวที่มี
ประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือมีโอกาสที่จะสูญเสียข้อมูลน้อยลงในกรณีที่เกิดความผิดพลาดของ hardware (fault tolerance) กลุ่มของ harddisk ที่เอามาทำงานร่วมกันใน
เทคโนโลยี RAID จะถูกเรียกว่า disk array โดยระบบปฏิบัติการและ software จะเห็น harddisk ทั้งหมดเป็นตัวเดียว ซึ่งการทำ RAID นี้นอกจากจะเป็นการเพิ่ม
ประสิทธิภาพของการเก็บรักษาข้อมูลแล้ว ยังเป็นการประหยัดอีกด้วย เพราะว่ายิ่ง harddisk มีความจุมากเท่าไหร่ ราคาของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สำหรับงาน ที่
จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากๆ อย่าง Database Server ถ้าเราเลือกใช้ harddisk ความจุมากๆ เพียงตัวเดียวในการเก็บข้อมูลหรือที่เรียกกันว่าเป็นการใช้
harddisk แบบ SLED หรือ Single Large Expensive Disk ราคาที่เราเสียไปกับ harddisk ตัวเดียวนั้น อาจจะไม่คุ้มค่าเท่ากับการใช้ harddisk ที่มีความจุตํ่ากว่า
(ซึ่งแน่นอนว่าราคาต้องถูกกว่าหลายเท่าด้วย) นำมาต่อเพื่อให้ทำงานร่วมกันหรือที่เรียกกันว่าเป็นการใช้ harddisk แบบ RAID
ก่อนที่เราจะไปรู้จัก RAID แบบต่างๆ เรามารู้จักคำว่า Data Striping กันก่อนครับ
Data Striping คือการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วนำแต่ละส่วนไปเก็บใน harddisk แต่ละตัว การทำ striping นี้จะช่วยให้การอ่าน หรือเขียนข้อมูลใน disk
array มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะแต่ละไฟล์จะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ กระจายไปเก็บในส่วนที่ต่างกันของ harddisk หลายตัว โดย harddisk เหล่านั้นทำงานไปด้วยกัน
แบบขนาน (parallel) จึงทำให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นเร็วกว่า harddisk แบบตัวเดียวอย่างแน่นอน
และนี่คือ RAID แบบต่างๆ ที่มีความสามารถต่างกัน และถูกเอามาใช้ในงานที่แตกต่างกัน แล้วแต่ผู้ใช้ครับ

 


RAID 0
คือการเอา harddisk มากกว่า 1 ตัวมาต่อร่วมกันในลักษณะ non-redundant ซึ่ง RAID 0 นี้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูล
harddisk โดยตรง ไม่มีการเ ก็บข้อมูลสำรอง ดังนั้นถ้าฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่งเ กิดเ สียหาย ก็จะส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ทันที จากรูป จะเห็นว่าข้อมูลจะ
ถูกแบ่งไปเก็บที่ harddisk ทั้ง 3 ตัว (กรณีที่เราใช้ harddisk 3 ตัวมาต่อ RAID 0 กัน) และถ้าเพิ่มจำนวน harddisk ใน array ให้มากขึ้น เวลาที่ใช้อ่านหรือเขียน
ข้อมูลก็จะลดลงไปตามสัดส่วน ตามทฤษฎีแล้ว ถ้า Disk Array มี harddisk จำนวน N ตัว ก็จะทำให้อ่านหรือเขียนข้อมูลได้เร็วขึ้นเป็น N เ ท่าตัว แต่ด้วยเหตุผลแ ละ
ปัจจัยหลายประการ เช่น RAID controller, ความคลาดเคลื่อนของความเร็ว harddisk ทำให้ในความเป็นจริงอาจเร็วไม่ถึงตามทฤษฎี
จุดเด่นของ RAID 0 คือความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ข้อเสียก็คือหาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย จะส่งผลกับข้อมูลทั้งระบบทันที


RAID 1
RAID 1 มีอีกชื่อหนึ่งว่า disk mirroring จะประกอบไปด้วย harddisk 2 ตัวที่เก็บข้อมูลเหมือนกันทุกประการ เสมือนการสำรองข้อมูล หาก harddisk ตัวใดตัว
หนึ่งเกิดเสียหาย ระบบก็ยังสามารถดึงข้อมูลจาก harddisk อีกตัวหนึ่งมาใช้งานได้ตามปกติ สำหรับ RAID controller ที่ถูกออกแบบมาเ ป็นอย่างดีแล้ว การเขียนข้อมูล
ลง harddisk 2 ตัวในเวลาเดียวกัน จะใช้เวลาพอๆ กับการเขียนข้อมูลลง harddisk ตัวเดียว ในขณะที่เวลาในการอ่านก็จะน้อยลง เพราะ RAID controller จะเลือก
อ่านข้อมูลจาก harddisk ตัวไหนก็ได้ โดยหากมีคำสั่งให้อ่านข้อมูล 2 ชุดในเวลาเดียวกัน ตัว RAID controller ก็สามารถประมวลผลคำสั่งเ พื่ออ่านข้อมูลจาก harddisk
ตัวหนึ่ง และคำสั่งอีกชุดนึงจาก harddisk อีกตัวนึงก็ได้
จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพ และความเร็วเหมือนอย่าง RAID 0 แม้ว่าประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลของ RAID 1 จะสูงขึ้นก็ตาม

RAID 2
ใน RAID 2 นี้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกตัดแบ่งเพื่อจัดเก็บลง harddisk แต่ละตัวใน disk array โดยจะมี harddisk ตัวหนึ่งเก็บข้อมูลที่ใช้ตรวจสอบและแก้ไขข้อผิด
พลาด (ECC - Error Checking and Correcting) ซึ่งเป็นการลดเปอร์เซ็นต์ที่ข้อมูลจะเสียหายหรือสูญเสียไป เมื่อมีการส่งข้อมูลไปบันทึกใน disk array จะเห็นได้ว่ามี
harddisk ที่เอาไว้เก็บค่า ECC โดยเฉพาะ ถ้าเกิดการปรากฏว่า harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย ระบบก็จะสามารถสร้างข้อมูลทั้งหมดใน harddisk ตัวนั้นขึ้นมาได้ใหม่
โดยอาศัยข้อมูลจาก harddisk ตัวอื่นๆ และจากค่า ECC ที่เก็บเอาไว้ ซึ่งการทำ ECC นี้ส่งผลให้ harddisk ทั้งระบบต้องทำงานค่อนข้างมากทีเดียว และ RAID 2 นั้นจะ
เห็นได้ว่าต้องใช้ harddisk จำนวนมากในการเก็บค่า ECC ซึ่งทำให้ค่อนข้างสิ้นเปลืองครับ


RAID 3
RAID 3 มีลักษณะที่คล้ายกับ RAID 2 แ ต่แทนที่จะตัดแบ่งข้อมูลในระดับ bit เหมือน RAID 2 ก็จะตัดเก็บข้อมูลในระดับ byte แทนและการตรวจสอบและแก้ไขข้อ
ผิดพลาดของข้อมูล จะใช้ parity แทนที่จะเป็น ECC ทำให้ RAID 3 มีความสามารถในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการต่อ harddisk แต่ละตัวแบบ
stripe และใช้ harddisk ที่เก็บ parity เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ถ้านำ RAID 3 ไปใช้ในงานที่มีการส่งผ่านข้อมูลในจำนวนที่น้อยๆ ซึ่ง RAID 3 ต้องกระจายข้อมูลไป
ทั่วทั้ง harddisk จะทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า คอขวดขึ้นกับ harddisk ที่เ ก็บ parity เพราะไม่ว่าข้อมูลจะมีขนาดใหญ่ขนาดไหน RAID 3 ต้องเสียเวลาไปสร้างส่วน
parity ทั้งสิ้นยิ่งข้อมูลมีขนาดเล็กๆ แต่ parity ต้องสร้างขึ้นตลอด ทำให้ข้อมูลถูกจัดเก็บเสร็จก่อนการสร้าง parity ทั้งระบบต้องมารอให้สร้าง parity เสร็จก่อน จึงจะทำงาน
ต่อไปได้นั่นเอง   RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ เช่นงานตัดต่อ Video เป็นต้น



RAID 4
RAID 4 มีลักษณะโดยรวมเหมือนกับ RAID 3 ทุกประการ ยกเว้นเรื่องการตัดแบ่งข้อมูลที่ทำในระดับ block แทนที่จะเป็น bit หรือ byte ซึ่งทำให้การอ่านข้อมูล
แบบ random ทำได้รวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาคอขวดที่กล่าวใน RAID 3 ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเหมือนเดิมครับ

 


RAID 5
มีการตัดแบ่งข้อมูลในระดับ block เช่นเดียวกับ RAID 4 แ ต่จะไม่ทำการแยก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเ พื่อเก็บ parity ในการเก็บ parity ของ RAID 5 นั้น จะ
กระจาย parity ไปยัง harddisk ทุกตัว โดยปะปนไปกับข้อมูลปกติ จึงช่วยลดปัญหาคอขวด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญใน RAID 3 แ ละ RAID 4 คุสมบัติอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจ
ของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap คือเราสามารถทำการเปลี่ยน harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่
ต้องทำงานต่อเนื่อง

RAID 6
RAID 6 อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 เกือบทุกประการ แต่มีการเพิ่ม parity block เข้าไปอีก 1 ชุด เพื่อยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว
(RAID 5 ทำการ Hot Swap ได้ทีละ 1 ตัวเท่านั้น หาก harddisk มีปัญหาพร้อมกัน 2 ตัว จะทำให้เสียทั้งระบบ) เรียกว่าเป็นการเพิ่ม Fault Tolerance ให้กับระบบ
โดย RAID 6 เ หมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัย และเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆ

 

RAID 7
RAID 7 อาศ ัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 4 โดนเ พิ่มคุณสมบัติบางอย่างเ ข้าไป เ พื่อทำให้ harddisk แ ต่ละตัวทำงานอิสระต่อกัน ไม่จำเ ป็นต้องรอให้ harddisk
ตัวใดตัวหนึ่งทำงานเ สร็จก่อน (ซึ่งทำให้เ กิดปัญหาคอขวดใน RAID 4) โดยการส่งข้อมูลแ ต่ละครั้ง จะทำการส่งผ่าน X-Bus ซึ่งเ ป็นบัสที่มีความเ ร็วสูง RAID 7 ยังมีหน่วย
ความจำแ คชหลายระดับในตัว RAID Controller เ พื่อแ ยกการทำงานให้อิสระต่อกัน โดยจะมี Real-Time Operating System อยู่ภายในส่วนที่เ รียกว่า Array
Control Processor ทำหน้าที่ควบคุมการส่งข้อมูลบนบัส

RAID 7 เ หมาะสำหรับใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ เ ชื่อมต่อได้สูงสุดถึง 12 Host 48 Drives แ ละราคาของระบบ RAID 7 ค่อนข้างที่จะสูงมาก ด้วย RAID 7 เ ป็นลิขสิทธิ์
เ ฉพาะของบริษัท Storage Computer Corporation ทำให้ผู้ใช้งาน RAID 7 ไม่สามารถปรับแ ต่งอะไรกับเ ครื่องเ ลย ทำให้ RAID 7 ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนั

RAID 10
RAID 10 หรือ RAID 0+1 เ ป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 0 และ RAID 1 เข้าด้วยกัน ทำให้กาข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และมีการทำ mirror ข้อมูล
(backup ข้อมูล) ไปด้วย ข้อเสียของ RAID 10 คือการเพิ่มจำนวน harddisk ในอนาคตเป็นไปได้ยากเพราะ harddisk แต่ละตัวมี mirror เป็นของตัวเอง ยิ่งเพิ่ม
harddisk เพื่อใช้งานก็ต้องเพิ่ม harddisk เพื่อ backup ไปด้วย เหมาะสำหรับ Server ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่ต้องการความจุมากนัก

 

RAID 53
RAID 53 มีอัตราความเร็วการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างสูง เพราะมีพื้นฐานการทำงานของ RAID 0 อยู่ และมีการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ เหมือน RAID 3
ซึ่งแน่นอนว่ายังมีปัญหาคอขวดด้วย นอกจากนี้ RAID 53 ยังสามารถทำ Hot Swap ได้เหมือนใน RAID 5 ครับ 

 

(Reference Picture from www.overclockzone.com)



 
© 2000-2008 CopyRight by Anthem Corporation (Thailand) Co.,Ltd.
Tel. 02-4267080, 086-3107101  Fax. 02-4267081  Website. www.anthemcor.com
disclaimer | privacy | contact us

  Sale Login Warehouse Login Driver Login