สมุนไพร คืออะไร?
คำว่า "สมุนไพร (herbs)" มีคำจำกัดความได้หลายอย่าง ขึ้นกับว่าใช้กับเนื้อหาอย่างไร ทางด้านพฤกษศาสตร์ HERBS หมายถึงพืชมีเมล็ดที่ไม่มีแก่นไม้ (nonwoody) และตายเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลเพาะปลูก ทางด้านอาหาร HERBS หมายถึงเครื่องเทศหรือผักที่ใช้แต่งรสหรือกลิ่นอาหาร แต่ทางด้านยา HERBS มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง คำจำกัดความที่ถูกต้องที่สุดของ HERBS คือ ยาที่มาจากพืช ใช้รักษาโรคซึ่งมักเป็นโรคเรื้อรังหรือเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
ด้านกฎหมายสมุนไพรยังจัดเป็นกลุ่มพิเศษ คือ กลุ่มอาหาร และกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หากสมุนไพรใช้เพื่อการรักษาหรือบรรเทาอาการโรค หรือใช้เสริมสุขภาพ (เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยหรือป้องกันโรค) จะจัดเป็นยา อย่างไรก็ดีมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรจำนวนหนึ่งที่เป็นยาหรืออาหารหรือเป็นทั้งยาและอาหาร ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น กระเทียม หากใช้เพื่อแต่งกลิ่นและรสอาหาร กรณีนี้ชัดเจนว่า กระเทียมเป็นอาหาร เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์กระเทียมควบคุมความดันโลหิตหรือระดับโคเลสเตอรอลที่สูง กรณีนี้กระเทียมจัดเป็นยา (ในประเทศเยอรมนี) และจัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ในสหรัฐอเมริกา) จึงเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคบางรายใช้กระเทียมเป็นทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกัน ชาวอเมริกันดื่มน้ำพรุนเป็นเครื่องดื่มยามเช้า และเป็นยาระบาย
คุณภาพของสมุนไพร
สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องสมุนไพร คือ ความถูกต้องของพืชสมุนไพรและคุณภาพที่เหมาะสม สมุนไพรต้องไม่มีการปนปลอม (Adulterant) หรือเป็นสมุนไพรทดแทน (Substitution) สมุนไพรที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันเคยปรากฏอยู่ในเภสัชตำรับ เช่น USP (The United States Pharmacopeia) และ NF (The National Formulary) ในรูปโมโนกราฟ (monograph) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของสมุนไพร โลกสมุนไพรปัจจุบันยังขาดมาตรฐาน สมุนไพรมากมายในประเทศที่กำลังพัฒนาถูกเก็บรวบรวมโดยชาวบ้าน และซื้อขายด้วยชื่อสามัญ (common name) ไม่มีการพิสูจน์ความถูกต้องของพืชและคุณภาพ สมุนไพรถูกจำหน่ายในรูปทั้งต้น เป็นชิ้นหรือบดเป็นผง เมื่อพิจารณาถึงมาตรฐาน (standardization) ของสมุนไพรหรือสารสกัดสมุนไพร ก็พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องความเข้มข้นของสารที่เสดงฤทธิ์ในล็อต (lot หรือ batch) ต่างๆ ของสมุนไพรที่คาดว่าเป็นชนิดเดียวกัน ที่สำคัญยังมีความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสายพันธุ์ ตัวอย่างสายพันธุ์เปปเปอมินต์ (peppermint) ที่ต่างกันจะให้ปริมาณน้ำมันหอมระเหยต่างกัน แม้ว่าเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมที่มันเจริญเติบโต และเวลาที่เก็บเกี่ยว การเตรียมสมุนไพรก็มีผลต่อคุณภาพ องค์ประกอบเคมีบางชนิดไม่ทนความร้อน สมุนไพรที่มีองค์ประกอบเคมีเช่นนี้ต้องทำให้แห้งที่อุณหภูมิต่ำ หากอบสมุนไพรให้แห้งช้าๆ สารสำคัญที่ถูกทำลายได้ด้วยเอนไซม์จะคงทนอยู่ได้เป็นระยะเวลานานระยะหนึ่ง
วิธีการประกันคุณภาพสมุนไพร ก็คือ การวิเคราะห์ประมาณสารสำคัญในสมุนไพร ถ้าเราทราบสารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ในสมุนไพร ก็สามารถแยกและวิเคราะห์ได้ด้วยวิธีที่เหมาะสม แต่ถ้าไม่ทราบสารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ หรือเห็นสารผสมที่ซับซ้อน หรือไม่มีสารที่เป็น marker ให้ใช้วิธีวิเคราะห์ทางชีวภาพ (biological analysis) ดังเช่นที่ให้วิเคราะห์ใบดิจิตาลิส อย่างน้อยก็เห็นวิธีการขั้นต้น เมื่อเราทราบความแรงของสมุนไพร ก็สามารถผสมกับตัวอย่างที่มีความแรงอ่อนหรือมากกว่า เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ตามที่กำหนด
มาตรฐานของคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรขึ้นกับชื่อเสียงของผู้ผลิต ผู้บริโภคควรซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ระบุปริมาณของสารสกัดสมุนไพรมาตรฐาน (standardized plant extract) ควรมีฉลากที่แสดงชื่อวิทยาศาสตร์ของสมุนไพร ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต หมายเลยล็อต (lot หรือ batch) ที่ผลิต วันที่ผลิต และวันหมดอายุ
เอกสารอ้างอิง การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างเหมาะสม โดย รศ.ดร. วีณา จิรัจฉริยากูล
สบู่ กับ เครื่องหมาย อย. ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 2.1 คำนิยาม เครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์เพื่อความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น เช่น ครีมบำรุงผิว โลชั่นกันแดด น้ำหอม ลิปสติก แป้งฝุ่น รองพื้น แป้งทาหน้า ดินสอเขียนคิ้ว ผลิตภัณฑ์ทาแก้ม แต่งตา ทาเล็บ ล้างเล็บ ตกแต่งทรงผม ระงับกลิ่นกาย สบู่ แชมพู ครีมนวดผม ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ผ้าเย็น ผ้าอนามัย เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์ที่ได้กล่าวอ้างสรรพคุณเกินกว่าเพื่อความสะอาดหรือความสวยงาม เช่น อ้างว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้าง หรือการกระทำหน้าที่ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นสรรพคุณทางยา ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องจัดเป็นยา ไม่ใช่เครื่องสำอาง เช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน ครีมบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง แม้ว่าจะมีการเกี่ยวโยงสรรพคุณเหล่านี้ว่านำไปสู่ความงามก็ตาม 2.2 การแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางฯ ได้จัดแบ่งเครื่องสำอางออกเป็น 3 ประเภท ตามลำดับความเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย หากผู้บริโภคใช้ไม่ถูกวิธี ได้แก่ เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ เครื่องสำอางควบคุม และเครื่องสำอางทั่วไป 1) เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ เป็นเครื่องสำอางที่มีความเสี่ยงสูงหากผู้บริโภคใช้เครื่องสำอางนั้นไม่ถูกวิธี จึงต้องมีการขึ้นทะเบียนตำรับเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พิจารณาความถูกต้อง เหมาะสม และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ก่อนจำหน่าย เครื่องสำอางในกลุ่มนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดัดผม ย้อมผม ฟอกสีผม แต่งผมดำ ผลิตภัณฑ์ทำให้ขนร่วง ยาสีฟัน หรือน้ำยาป้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เป็นต้น เครื่องสำอางประเภทนี้ที่ฉลากจะต้องแสดงข้อความว่า "เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ" และมีเลขทะเบียนในกรอบ อย. 2) เครื่องสำอางควบคุม เป็นเครื่องสำอางที่มีความเสี่ยงรองลงมา การกับดูแลจึงลดระดับลงมาจากการขึ้นทะเบียน เป็นเพียงการจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเท่านั้น เครื่องสำอางในกลุ่มนี้ได้แก่ ผ้าอนามัย ผ้าเย็น กระดาษเย็น แป้งฝุ่นโรยตัว แป้งน้ำ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด เครื่องสำอางที่ผสมสารขจัดรังแค เป็นต้น เครื่องสำอางประเภทนี้ที่ฉลากจะต้องแสดงข้อความว่า "เครื่องสำอางควบคุม" 3) เครื่องสำอางทั่วไป ได้แก่ เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของสารควบคุมพิเศษ หรือสารควบคุม เป็นเครื่องสำอางที่ผู้บริโภคมีโอกาสเกิดอันตรายจากการบริโภคได้น้อย ได้แก่ สบู่ แชมพู ครีมนวดผม แป้งทาหน้า ลิปสติก เจลแต่งผม น้ำหอม ครีมบำรุงผิว ดินสอเขียนคิ้ว บลัชออนแต่งแก้ม อายแชโดว์ เป็นต้น เครื่องสำอางประเภทนี้ต้องแสดงฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วน ดังนั้น สบู่ จึงจัดอยู่ในประเภท "เครื่องสำอางทั่วไป" ผลิตในประเทศไทย ไม่ต้องขึ้นทะเบียนอาหารและยา หรือรายละเอียด เพียงแต่แสดงข้อความที่ฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วน การแสดงข้อความอันจำเป็นที่ฉลากภาษาไทย
|
เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ
|
เครื่องสำอางควบคุม
|
เครื่องสำอางทั่วไป
|
1.
|
ชื่อเครื่องสำอาง
|
ชื่อเครื่องสำอาง
|
ชื่อเครื่องสำอาง
|
2.
|
ประเภทหรือชนิด
|
ประเภทหรือชนิด
|
ประเภทหรือชนิด
|
3.
|
ข้อความ "เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ"
|
ข้อความ "เครื่องสำอางควบคุม"
|
-
|
4.
|
เลขทะเบียนในกรอบ อย.
|
-
|
-
|
5.
|
ชื่อและปริมาณ ของสารควบคุมพิเศษและสารสำคัญ
|
ชื่อและปริมาณ ของสารควบคุมและสารสำคัญ
|
ชื่อส่วนประกอบสำคัญ
|
6.
|
- ถ้าผลิตในประเทศให้แสดงชื่อและ ที่ตั้งของผู้ผลิต - ถ้านำเข้าจากต่างประเทศให้แสดงชื่อและ ที่ตั้งของผู้นำเข้า รวมทั้งชื่อผู้ผลิตและประเทศผู้ผลิตด้วย
|
- ถ้าผลิตในประเทศให้แสดงชื่อและที่ต้องของผู้ผลิต - ถ้านำเข้าจากต่างประเทศให้แสดงชื่อและ ที่ตั้งของผู้นำเข้า รวมทั้งชื่อผู้ผลิตและประเทศผู้ผลิตด้วย
|
- ถ้าผลิตในประเทศให้แสดงชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต - ถ้านำเข้าจากต่างประเทศให้แสดงชื่อและ ที่ตั้งของผู้นำเข้า รวมทั้งชื่อผู้ผลิตและประเทศผู้ผลิตด้วย
|
7.
|
เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต
|
เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต
|
-
|
8.
|
วันเดือนปีที่ผลิต
|
วันเดือนปีที่ผลิต
|
วันเดือนปีที่ผลิต
|
9.
|
วิธีใช้
|
วิธีใช้
|
วิธีใช้
|
10.
|
ปริมาณสุทธิ
|
ปริมาณสุทธิ
|
ปริมาณสุทธิ
|
11.
|
คำเตือนตามที่กฎหมายกำหนด
|
คำเตือนตามที่กฎหมายกำหนด
|
คำเตือนตามที่กฎหมายกำหนด
|
12.
|
ถ้าพื้นที่ในการแสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะข้อ 1, 4 และ 10 ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในใบแทรกหรือเอกสารกำกับเครื่องสำอาง
|
ถ้าพื้นที่ในการแสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะข้อ 1 และ 10 ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในใบแทรกหรือเอกสารกำกับเครื่องสำอาง
|
ถ้าพื้นที่ในการแสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะข้อ 1 และ 10 ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในใบแทรกหรือเอกสารกำกับเครื่องสำอาง
|
2.3 การโฆษณาเครื่องสำอาง การโฆษณาเครื่องสำอาง ไม่ต้องขออนุญาตก่อนทำการโฆษณา แต่การโฆษณาต้องอยู่ในขอบเขตของความถูกต้อง ถูกหลักวิชาการและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการอาจขอให้พิจารณาให้ความเห็นก่อนทำการโฆษณาได้
2.4 การผลิต/นำเข้าเครื่องสำอาง
-
|
เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ
|
ต้องขึ้นทะเบียนก่อนผลิตหรือนำเข้า
|
-
|
เครื่องสำอางควบคุม
|
ต้องแจ้งรายละเอียดก่อนผลิตหรือนำเข้า
|
-
|
เครื่องสำอางทั่วไป
|
- ผลิตในประเทศไม่ต้องขึ้นทะเบียนหรือ รายละเอียด เพียงแต่แสดงข้อความที่ฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วน - นำเข้า ต้องยื่นเอกสารขอนำเข้าและต้องจัดทำฉลากภาษาไทยให้ครบถ้วนและถูกต้อง ภายใน 30 วัน นับแต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้นำเข้า
|
2.5 สถานที่ขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การขายเครื่องสำอาง สามารถกระทำได้โดยอิสระ ไม่ต้องขออนุญาตขายเครื่องสำอาง แต่เครื่องสำอางที่ขายต้องมีฉลาก ภาษาไทยและฉลากต้องแสดงข้อควาครบถ้วนและถูกต้องตามที่ได้กำหนดไว้ ข้อมูลข้างต้นข้างอิงจาก http://www.fda.moph.go.th/fda_economic/#cosmetics
|