ภัยเงียบจากปลั๊กไฟ: เมื่อระบบไฟฟ้าไม่เป็นใจ คุณภาพของกำลังไฟฟ้าที่จ่ายให้กับเครื่องมือในห้องปฏิบัติการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเครื่องมือแพทย์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และหน่วยประมวลผลที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าสูง 1 ปัญหาไฟฟ้าไม่เสถียร เช่น ไฟตก ไฟกระชาก และความผันผวนของแรงดันไฟฟ้า (Voltage Fluctuation) สามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่คิด
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:
| ปัญหาไฟฟ้า |
ผลกระทบต่อเครื่องมือแพทย์ |
ตัวอย่างสถานการณ์ในห้องปฏิบัติการ |
| ไฟตก (Voltage Dips/Sags) |
การทำงานหยุดชะงัก, ข้อมูลการทดสอบเสียหาย, อุปกรณ์รีเซ็ตตัวเอง |
เครื่องวิเคราะห์สารเคมีในเลือดหยุดทำงานกลางคัน ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด |
| ไฟกระชาก (Power Surges) |
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เสียหาย, อายุการใช้งานสั้นลง, แผงวงจรไหม้ |
เครื่องปั่นเหวี่ยง (Centrifuge) ได้รับความเสียหายถาวรหลังเกิดฟ้าผ่าในบริเวณใกล้เคียง |
| ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้า |
ผลการวัดคลาดเคลื่อน, การแสดงผลผิดเพี้ยน, การวินิจฉัยไม่ถูกต้อง |
เครื่องวัดค่าอิเล็กโทรไลต์แสดงผลไม่คงที่ ทำให้การแปลผลผิดพลาดและอาจเป็นอัน |
ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางการเงิน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของผลการทดสอบ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความปลอดภัยของผู้ป่วย ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การติดตั้ง เครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS) ชนิด True Online และ อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากสำหรับเครื่องมือแพทย์โดยเฉพาะ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสร้างเกราะป้องกันด่านแรกให้กับเครื่องมือที่มีมูลค่าสูง
เกราะป้องกันที่ยั่งยืน: พลังของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน นอกเหนือจากการป้องกันปัญหาจากภายนอกแล้ว การดูแลรักษาเครื่องมือจากภายในก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance - PM) ไม่ใช่เป็นเพียงการซ่อมเมื่อเสีย แต่เป็นกระบวนการที่วางแผนไว้เพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุดและยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือให้ยาวนานที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่าง ISO 13485 ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบบริหารคุณภาพสำหรับเครื่องมือแพทย์ 3 โปรแกรมการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพควรประกอบด้วยองค์ประกอบหลักดังนี้: 1.การวางแผนและจัดทำตาราง: กำหนดความถี่ในการบำรุงรักษาตามคำแนะนำของผู้ผลิตและปริมาณการใช้งานจริง พร้อมจัดทำปฏิทินการบำรุงรักษาสำหรับเครื่องมือแต่ละชิ้นอย่างชัดเจน 2.การตรวจสอบและสอบเทียบ (Calibration): ทำการตรวจสอบเชิงลึกและปรับเทียบความแม่นยำของเครื่องมือวัดตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าผลการตรวจวัดมีความถูกต้องตามมาตรฐาน 3.การทำความสะอาดและการดูแลรักษาประจำวัน: นักเทคนิคการแพทย์ควรตรวจสอบสภาพภายนอก ทำความสะอาด และทดสอบการทำงานขั้นพื้นฐานของเครื่องมือก่อนการใช้งานทุกครั้ง 4.การบันทึกประวัติ: จัดเก็บประวัติการบำรุงรักษา, การซ่อม, และการสอบเทียบอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของปัญหาและวางแผนการจัดซื้อในอนาคต การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยลดโอกาสที่เครื่องมือจะหยุดทำงานโดยไม่คาดคิด แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในระยะยาวอีกด้วย
|